เมื่อขุนนางจีนรับเสด็จที่ภูเก็ต


จากภาพถ่ายเก่าโบราณที่ปรากฏน่าจะเป็นสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือรัชกาลที่ ๖ ที่ชุมชนชาวจีนตั้งแถวรับเสด็จในตลาดเมืองทุ่งคาหรือเมืองภูเก็ตในปัจจุบัน ด้วยการแต่งกายแบบขุนนางจีนสมัยราชวงศ์ชิง คือสวมชุดครุยหรือ สวมชุดเสื้อผ้าแขนยาวตัวเสื้อยาวถึงน่องทับกางเกงขายาว สวมหมวกสานมีภู่ห้อยสีแดง ยอดหมวกมีสิ่งประดับ ซึ่งเป็นหมวกที่ใช้สวมในฤดูร้อน สวมรองเท้า ไม่เห็นสวมลูกประคำ ๑๐๘เม็ด เท่าที่เห็นในภาพน่าจะมี ๘ คน
เสื้อครุยหรือเสื้อคลุมน่าจะเป็นสีเทา หน้าอกเสื้อไม่มีสัญลักษณ์แสดงยศตำแหน่งว่าเป็นขุนนางระดับไหน เป็นฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊
โดยทั่วไปแล้ว ขุนนางจีนสมัยราชวงศ์ชิง ถ้าหากถูกปลดลดยศตำแหน่ง แต่ยังคงเป็นข้าราชการอยู่ไม่ว่าฝ่ายทหารหรือพลเรือน จะแต่งกายแบบนี้ แต่สวมชุดเสื้อคลุมสีดำเท่านั้น ส่วนหมวกก็ใช้แบบเดียวกัน ยกเว้นยอดหมวกห้ามใช้สิ่งของประดับตามยศตำแหน่ง
ดังนั้น ขุนนางจีนที่ปรากฏในภาพ จึงไม่ใช่ขุนนางฝ่ายทหารหรือพลเรือน
แล้วพวกเขาเป็นขุนนางกลุ่มไหน
พวกขุนนางที่สวมชุดสีเทาไม่มีเครื่องหมายยศตำแหน่งที่หน้าอก มีกลุ่มเดียว คือข้าราชการในสำนักพระราชวังของฮ่องเต้ ซึ่งได้แก่ พวกข้าราชบริพารของฮ่องเต้ ส่วนใหญ่เป็นพวกขันที แต่ถ้าฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เป็นข้าราชบริพารต่างพระเนตรพระกรรณก็ย่อมได้ นั่นหมายถึง พวกขุนนางเหล่านี้ คงต้องถวายรายงานไปยังกรุงปักกิ่ง
ในช่วงปลายสมัยราชวงศ์ชิง บ้านเมืองสับสนวุ่นวาย ขุนนางแทบทุกระดับฉ้อราษฎร์บังหลวง มีการซื้อขายตำแหน่งกันทุกระดับ ใครอยากเป็นขุนนางระดับไหนหาซื้อได้ด้วยเงิน โดยเฉพาะพวกขันทีขุนนางผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดวังหลวง การซื้อขายตำแหน่งที่มีชั้นยศระดับต่างๆราคาจึงแพงตามไปด้วย เมื่อได้รับยศแล้ว แต่ไม่มีตำแหน่งให้ว่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยงานกรมกองไหน เพียงแต่มียศเท่านั้น โดยดูที่หน้าอกเสื้อรูปสัตว์อะไร เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊
แต่ขุนนางจีนที่ปรากฏในรูปไม่มีตราสัญลักษณ์ดังกล่าว จึงน่าจะเป็นขุนนางฝ่ายสำนักพระราชวังที่ฮ่องเต้ทรงตั้งให้เป็นข้าราชบริพารต่างพระเนตรพระกรรณ
แต่อีกภาพหนึ่ง คือ หลิมบุ่นซ้วง 林文双 ผู้มีส่วนก่อตั้งศาลเจ้าซำซานเทียนเฮวกึ๋ง หรือศาลเจ้ามาจอโป๋ ถนนกระบี่ ท่านแต่งชุดขุนนาง สวมหมวกในฤดูหนาว มีประคำ๑๐๘ เม็ดห้อยคอ แสดงว่าถ้าท่านเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน น่าจะเป็นระดับ ๑-๕ เท่านั้นที่จะสวมประคำได้ แต่ถ้าเป็นทหารระดับ ๑ ๔ จึงสวมประคำได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายภาพถ่ายของท่าน ไม่เห็นรูปสี่เหลี่ยมที่หน้าอกว่าเป็นสัตว์อะไร เพื่อแสดงชั้นยศและสังกัดทหารหรือพลเรือน
ตำแหน่งขุนนางจีนสมัยราชวงศ์ชิง กล่าวเพียงสังเขปเท่านั้น มีดังนี้
ขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนหรือฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น มีทั้งหมด ๙ ระดับ โดยนับเอาระดับสูงสุดเป็นระดับ ๑ ระดับต่ำสุด คือ ระดับ ๙ ในแต่ละระดับมีรูปสัตว์ตามระดับนั้นๆ ปักบนผ้าทรงสี่เหลี่ยมแล้วเอาไปติดที่หน้าอกเสื้อคลุม ให้สังเกตว่าขุนนางคนไหนอยู่ระดับใด เป็นขุนนางฝ่ายบู๊หรือฝ่ายบุ๋น ให้ดูว่าใช้รูปสัตว์อะไร
ขุนนางฝ่ายพลเรือนหรือฝ่ายบุ๋น มี ๙ ระดับ เป็นรูปนกชนิดต่างๆ คือ
ระดับ ๑ นกกระเรียน
ระดับ ๒ ไก่ฟ้าสีทอง
ระดับ ๓ นกยูง
ระดับ ๔ ห่านป่า
ระดับ ๕ ไก่ฟ้าสีเงิน
ระดับ ๖ นกกระยาง
ระดับ ๗ นกเป็ดน้ำ
ระดับ ๘ นกคุ่ม
ระดับ ๙ นกแซงแซวสวรรค์
ขุนนางฝ่ายทหารหรือฝ่ายบู๊ มี ๙ ระดับ เป็นสัตว์สี่เท้า ดังนี้
ระดับ ๑ กิเลน
ระดับ ๒ สิงโต
ระดับ ๓ เสือดาว
ระดับ ๔ เสือโคร่ง
ระดับ ๕ หมี
ระดับ ๖ เสือดำ
ระดับ ๗ แรด
ระดับ ๘ แรด
ระดับ ๙ ม้าน้ำ
การปักรูปสัตว์ไม่ว่าขุนนางฝ่ายบุ๋นหรือบู๊ ให้ปักบนผ้าสี่เหลี่ยมด้านเท่าเท่านั้น สำหรับเย็บติดกับเสื้อคลุมตรงหน้าอกและด้านหลัง เสื้อคลุมเป็นสีดำ ส่วนเชื้อพระวงศ์ ใช้ผ้าทรงกลมปักรูปมังกร ตามลำดับชั้นความใกล้ชิดกับฮ่องเต้ อาจเป็นเสื้อคลุมสีเหลือง สีเทา ทรงสี่เหลี่ยมหมายถึงแผ่นดินหรือพลเมือง ส่วนวงกลมหมายถึงฟ้าสวรรค์สำหรับฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์
นอกจากรูปสัตว์แล้ว ขุนนางสวมหมวกเหมือนกันแต่ต่างกันที่เครื่องประกอบหมวก เช่น ยอดหมวกประกอบด้วยหินมีค่าเพชรพลอยตามระดับที่กำหนด ขุนนางระดับ ๕ ถึงระดับ ๑ ใช้ขนนกยูงประดับหมวกและมีระดับด้วยคือ ขนนกยูง สามตาสองตาหรือตาเดียว ตามความดีความชอบในแต่ละครั้ง หากมีหลายครั้งอาจต่อกันยาวเลยทีเดียว ส่วนขุนนางระดับ ๖ ถึงระดับ ๙ ใช้ขนนกสีดำทำด้วยขนอีกา
การสวมลูกประคำ ๑๐๘ เม็ด ขุนนางฝ่ายบุ๋น ระดับ ๑ ถึง ๕ เท่านั้นจึงสวมได้ ส่วนฝ่ายบู๊ ระดับ ๑ ถึง ๔ จึงสวมได้ ลูกประคำเหล่านี้ทำด้วยหินมีค่าทั้งสิ้น ตามระดับของผู้สวมใส่ ที่น่าสังเกตก็คือ บางคนมีลูกประคำเม็ดเล็กเป็นพวงๆละห้าเม็ด คาดเดาว่าน่าจะมีผลงานเป็นเยี่ยม จึงได้รับลูกประคำเม็ดเล็กจำนวนห้าเม็ดมาผูกติดกับพวงใหญ่ หากมีผลงานดีเยี่ยมหลายครั้งก็คงได้รับหลายพวง
เสื้อผ้าลวดลายมังกรใช้สำหรับฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์เท่านั้น ยกเว้น ขุนนางที่ได้รับความดีความชอบระดับสูงกว่าระดับหนึ่ง หรือเป็น อ๋อง เช่น อู๋ซานกุ้ย เป็นต้น การแสดงงิ้วเป็นฮ่องเต้หรือเชื้อพระวงศ์ให้ใช้เสื้อมังกรสี่เล็บสามเล็บ
อนึ่ง ขุนนางที่รับราชการในวัง โดยเฉพาะพวกขันที ไม่มีสิทธิ์ที่จะสวมชุดขุนนางทั้งสองฝ่ายได้ ต่อมามีการออกแบบชุดขุนนางในวังระดับต่างๆโดยเฉพาะขึ้น ส่วนทหารราชองครักษ์หรือทหารรักษาวังแต่งตัวตามหน่วยกรมกองเดิมที่ได้รับคำสั่งให้มาเป็นองครักษ์
ขุนนางจีนสมัยราชวงศ์ชิงที่เข้ามาอาศัยในเมืองทุ่งคาหรือเมืองภูเก็ต แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเมืองภูเก็ตในสมัยนั้น ที่มีประชากรชาวจีนเข้ามาเป็นกุลีเหมืองแร่ดีบุกและทำมาค้าขาย จำนวนหลายหมื่นคน พวกขุนนางเหล่านั้นคงมีหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งที่ได้รับมอบหมายมาจากกรุงปักกิ่ง เพราะจีนถือว่า สยามเป็นมณฑลหนึ่งของจีน มีผู้ปกครองที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เป็น อ๋อง พร้อมเครื่องยศ
: สมบูรณ์ แก่นตะเคียน ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑
***
หมายเหตุ :
เทียบ ระดับ ขุนนางจีนกับขุนนางไทย
จีน = ไทย
๑ = สมเด็จเจ้าพระยา
๒ = เจ้าพระยา
๓ = พระยา
๔ = พระ
๕ = หลวง
๖ = ขุน
๗ = หมื่น
๘ = พัน
๙ = ทนาย
***
เทียบ ระดับ ขุนนางจีนกับข้าราชการไทยในปัจจุบัน
จีน = ไทย
๑ = ๑๐
๒ = ๙
๓ = ๘
๔ = ๗
๕ = ๖
๖ = ๕
๗ = ๔
๘ = ๓
๙ = ๑-๒
***
เทียบ ยศทหารจีนกับยศทหารไทยในปัจจุบัน
จีน = ไทย
๑ หยวนโซ่ว /หงวนโส่ย = จอมพล
นายพล = เจียงจวิน เจี้ยงกวน
๒ ซั่งเจี้ยง = พลเอก
๓ จงเจี้ยง = พลโท
๔ เส้าเจี้ยง = พลตรี
๕ ซั่งเชี่ยว = พันเอก
๖ จงเชี่ยว = พันโท
๗ เส้าเชี่ยว = พันตรี
๘ เว่ยกวน = นายร้อย ร้อยเอก-ซั่งเว่ย ร้อยโท-จงเว่ย ร้อยตรี-เส้าเว่ย
๙ จวินซื่อ = นายสิบ สิบเอก-ซั่งซื่อ สิบโท-จงซื่อ สิบตรี-เซียซื่อ
จวินเหยิน/ซื่อปิง = พลทหาร
***
การเทียบระดับนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน
*****
ภาพประกอบ


ภาพ หลิมบุ่นซ้วง (หลินเหวินซ้วง)
林文双
ที่ศาลเจ้าซำซานเทียนเฮวกึ๋ง ถนนกระบี่
*********
ภาพจาก กูเกิ้ล และ youtube
แสดงการแต่งกายของขุนนางจีน
สมัยราชวงศ์ชิง

***********
****
|