เทศกาลไหว้พระจันทร์
เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ตรงกับวันที่ ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หรือ กลางฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่ชาวนาชาวสวนต่างเก็บเกี่ยวพืชผลที่กำลังสุก ซึ่งถือว่าเป็นฤดูเก็บเกี่ยว อากาศสดชื่นสบาย ทำให้ญาติสนิทมิตรสหายต่างมาพบปะกันได้สะดวก งานฤดูใบไม้ร่วงได้เริ่มมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวเป็นต้นมา ซึ่งฮ่องเต้จะทรงประกอบพิธีบูชาพระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง และทรงบูชาพระอาทิตย์ในกลางฤดูใบไม้ผลิเป็นประจำทุกปี ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถัง พ.ศ. ๑๑๖๑ ๑๔๕๐ จึงได้มีการกำหนดวันแน่นอน คือ วันที่ ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประวัติความเป็นมา
เทศกาลวันไหว้พระจันทร์มีตำนานความเป็นมาหลายตำนาน ดังนี้
ตำนานเรื่องที่ ๑ ฉางเอ๋อ
งานเทศกาลไหว้พระจันทร์ประจำปีตรงกับวันที่ ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันแซยิดหรือคล้ายวันถือกำเนิดของเทพเจ้าหลายองค์ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น คือ เทพเจ้าฉางเอ๋อ หรือเทพธิดาแห่งดวงจันทร์
ฉางเอ๋อ 嫦娥; หรือ Chang Er หรือ เหิงอี้ หรือ เหิงเอ๋อ หรือ เหิงโอ๋ หรือ ฉางหงอ เป็นภรรยาของโหวอี้ ทั้งคู่มีชีวิตอยู่ในช่วงสมัยพระเจ้าเหยาตี้ แห่ง ซานหวงอู่ตี้ โหวอี้เป็นทหารองครักษ์ของพระเจ้าเหยาตี้ โหวอี้มีอาวุธวิเศษอยู่คือ ดอกศรสีขาวและคันธนูสีแดง
ตี้จุนเป็นเทพเจ้าแห่งทะเลตะวันออก ทรงมีพระมเหสีชื่อ พระนางซีเหอ ทั้งสองพระองค์มีพระโอรส ๑๐ องค์ที่มีลักษณะพิเศษ คือพระวรกายมีแสงร้อนแรงแผ่ออกมาเป็นแสงพระอาทิตย์ ในแต่ละสัปดาห์พระมารดาซีเหอ จะนำพระโอรสทั้งสิบไปสรงน้ำในทะเลสาบที่หุบเขาแสงแห่งตะวันออก เมื่อสรงน้ำเสร็จแต่ละองค์จะประทับบนต้นมอลเบอรรี่วิเศษ ที่เรียกว่า ฝู่สาง ในแต่ละครั้งพระมารดาจะทรงอนุญาตให้โอรสองค์หนึ่งเสด็จด้วยราชรถเทียมด้วยมังกร ๖ ตัว เพื่อเสด็จเหาะเหินจากฟากฟ้าทิศตะวันออก ข้ามขอบฟ้าลัดไปสู่ทิศตะวันตกที่เทือกเขาเหยินจู่ ในช่วงที่พระโอรสชักราชรถผ่านท้องฟ้า แสงจากพระวรกายของพระองค์ก็จะบันเจิดจ้าสว่างไปทั่วและทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้นบนโลก
อย่างไรก็ตามพระราชภารกิจประจำวันแบบนี้ทำให้พระโอรสแต่ละพระองค์ทรงเบื่อหน่ายที่ต้องทำซ้ำซากตามวิสัยเด็ก คืออยากเล่นสนุกกันทั้งสิบพระองค์บนท้องฟ้ามากกว่า แล้ววันหนึ่งพระราชโอรสทั้งสิบพระองค์ก็ทรงนัดกันที่จะชักพระราชรถเทียมมังกรออกจากทิศตะวันออกพร้อมกันเพื่อมุ่งไปทิศตะวันตก ถ้าหากกระทำดังกล่าวก็จะทำให้แม่น้ำและมหาสมุทรเหือดแห้ง ผู้คนสัตว์ทั้งหลายตายหมด โลกอาจแตกระเบิดเป็นเสี่ยงๆเป็นแน่
เมื่อพระเจ้าเหยาตี้ทรงทราบดังนั้นจึงทรงปรึกษากับเทพเจ้าตี้จุนพระบิดาขององค์ชายทั้งสิบรวมทั้งทวยเทพทั้งหลาย เพื่อขจัดปัดเป่าสถานการณ์ ครั้งแรกเทพเจ้าตี้จุนทรงเรียกพระโอรสทั้งสิบมาห้ามปรามมิให้กระทำ แต่พระโอรสไม่ทรงเชื่อฟังกลับกริ้วพระบิดาอีก เทพเจ้าตี้จุนจึงมอบภาระนี้ให้เทพโหวอี้จัดการความดื้อรั้นของโอรสทั้งสิบของพระองค์ เทพโหวอี้รับพระบัญชาแล้วลงมาจากสวรรค์ไปคอยอยู่ที่เทือกเขาคุนลุ้น แล้วเทพโหวอี้จึงดึงดอกศรวิเศษสีขาวออกจากซองในกล่องสะพายหลังบรรจงใส่นาบบนคันธนูวิเศษสีแดงเพื่อจะข่มขู่พระโอรสมิให้กระทำ แต่การมิได้เป็นไปเช่นนั้น เมื่อพระโอรสทั้งสิบชักรถผ่านมา เทพโหวอี้กลับเล็งไปยังพระโอรสและยิงธนูออกไปถูกพระโอรสเก้าพระองค์สิ้นพระชนม์ จนเหลือองค์ที่สิบ พระเจ้าเหยาตี้จึงทรงขอให้ไว้ชีวิตเพื่อทำให้เกิดแสงสว่างและความอบอุ่นแก่โลกมนุษย์ เทพโหวอี้จึงปฏิบัติตามรับสั่งของพระเจ้าเหยาตี้ จึงเหลือพระอาทิตย์เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ยังส่องแสงสว่างมายังโลก
เมื่อเทพตี้จุนทรงทราบว่าโอรสเก้าองค์ถูกของวิเศษเทพโหวอี้สิ้นพระชนม์ ทรงกริ้วมากและเสียพระทัย จึงทรงขับไล่เทพโหวอี้ให้ออกไปจากสวรรค์ลงมาเป็นคนธรรมดาบนโลกมนุษย์ ทำให้เทพโหวอี้ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ไม่มีวันตายกลายเป็นคนธรรมดาไปเช่นนี้ เขาจึงได้รับคำยกย่องสรรเสริญจากมนุษย์มากที่ยอมเสียสละ ถึงเขาจะเป็นคนธรรมดาแต่ในที่สุดก็ชนะใจหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ ฉางเอ๋อ และได้แต่งงานกัน
วันหนึ่งโหวอี้เดินทางไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งที่บริเวณเทือกเขาคุนลุ้น ณ ที่นั้นเขาได้พบ เทพเจ้าซีหวางมู่ พระราชินีแห่งภูมิภาคตะวันตก ด้วยความที่โหวอี้มีความเคารพในพระองค์เป็นอย่างสูง เขาจึงได้สร้างพระตำหนักด้วยหยกและท่อนไม้ ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยมาก จึงได้พระราชทาน ยาวิเศษ ให้โหวอี้หนึ่งเม็ด เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะกลับเป็นเทพเจ้าหรือเซียนตามเดิม แต่ตัวโหวอี้อยากได้อีกเม็ดหนึ่งเพื่อให้ภรรยาที่เขารักได้กินเพื่อขึ้นไปสวรรค์อยู่พร้อมกัน พระนางซีหวางมู่จึงรับสั่งให้เขาปฏิบัติตนถือศีลกินเจทำให้ใจบริสุทธิ์เป็นเวลาสิบสองเดือน โหวอี้ก็รับคำแล้วกลับมาบ้านเล่าให้ภรรยาฟังทุกประการ ทั้งสองคนจึงเริ่มปฏิบัติตามคำแนะนำของพระนางซีหวางมู่ เขาจึงเอายาวิเศษเม็ดที่ได้มาครั้งแรกใส่ห่อด้วยผ้าไหมซ่อนบนเพดานในบ้านของเขา แต่ทว่าเรื่องนี้บังเอิญคนรับใช้ผู้ชายชื่อ เฝิงเหมิง รู้เห็น เขามีจิตคิดคดอยากได้ยาวิเศษเม็ดนั้น
วันหนึ่งโหวอี้ออกไปป่าหาอาหารพร้อมด้วยเฝิงเหมิง เมื่อได้โอกาสเฝิงเหมิงจึงลอบฆ่าเจ้านายของตนแล้วรีบกลับมาบ้านเจ้านายข่มขู่คาดคั้นเอายาวิเศษเม็ดนั้นจากฉางเอ๋อ ซึ่งเธอก็ไม่สามารถจะป้องกันตัวเองได้ ฉวยจังหวะเหมาะจึงรีบกลืนยาเม็ดนั้นเข้าไปทันที ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็เปลี่ยนฉับพลันเป็นพลังของผู้วิเศษ ตัวเบาลอยขึ้น เธอจึงรีบกระโจนออกจากทางหน้าต่าง แล้วเหาะขึ้นท้องฟ้า ถึงแม้เฝิงเหมิงจะไล่จับก็ไม่ทัน เธอล่องลอยไปทั่วแล้วเหาะไปสถิตอยู่บนดวงจันทร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะเธอเห็นว่าสถานที่นี้เหมาะที่เธอจะพำนักเพื่อระลึกถึงโหวอี้คนรักของเธอ ด้วยการร้องรำพันต่างๆนานาที่ต้องจากกันด้วยวัยอันไม่สมควร
อย่างไรก็ตาม ตำนานฉางเอ๋อมีเล่าแตกต่างกัน บ้างว่า ฉางเอ๋อได้ขโมยยาวิเศษของโหวอี้สามีมารับประทานเมื่อสอบสวนเป็นจริง เธอจึงถูกเนรเทศให้ขึ้นไปอยู่บนดวงจันทร์ แล้วถูกสาปให้เป็นคางคกสามขา อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า โหวอี้ได้เป็นกษัตริย์ แต่ต่อมาทรงดุร้าย ทำให้พระนางฉางเอ๋อทรงกลัว จึงเอายาวิเศษเม็ดนั้นมาเสวยแล้วเสด็จไปประทับบนดวงจันทร์ บางตำนานว่า ฉางเอ๋อเป็นเทพธิดาองค์หนึ่งปฏิบัติภารกิจอยู่ในพระราชวังของฮ่องเต้หยกอ๋องส่องเต่ ( ทีกง ) บนสวรรค์ วันหนึ่งเธอทำแจกันแตก จึงถูกลงโทษกักขังอยู่บนดวงจันทร์
ถึงอย่างไรก็ตามชาวบ้านทั้งหลายก็พากันสักการะเซ่นไหว้ขอพรจากเธอ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวขอให้สมหวังในเรื่องคู่รัก ดังนั้นในวันที่ ๑๕ ค่ำเดือน ๘ ต่างพากันเซ่นไหว้เป็นประจำทุกปีจนถึงปัจจุบัน
ตำนานเรื่องที่ ๒ อู่กาง
อู่กางเป็นคนที่ใจไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย ใจโลเล จับจดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นคนเปลี่ยนใจง่าย วันหนึ่งเขาคิดอยากเป็นเซียนขึ้นมา จึงเดินทางไปยังเทือกเขาเพื่อสืบเสาะหาอาจารย์ที่จะสอนให้เขาเป็นเซียน แล้วในที่สุดเขาก็ได้พบกับอาจารย์ตามที่ตนเองอยาก อาจารย์จึงให้เรียนเรื่องแรก คือให้ศึกษาเรื่องสมุนไพรชนิดต่างๆว่าจะรักษาโรคอะไรได้บ้าง แต่เขาเรียนได้เพียงสองสามวันก็เบื่อ อยากให้อาจารย์สอนวิชาอื่น อาจารย์จึงสอนวิชาที่สองเป็นเรื่องหมากรุก แค่เรียนได้ไม่เท่าไรเขาก็ขอให้อาจารย์เปลี่ยนเรื่องอื่น
ข้างอาจารย์จึงยกเอาตำราเรียนวิธีที่จะเป็นเซียนทั้งเล่มมาให้ แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาเรียนไปได้หน่อยหนึ่ง เริ่มโลเล อยากเรียนเรื่องอื่น
อู่กางจึงถามอาจารย์ว่า มีสถานที่ใดบ้างที่ท่องเที่ยวไปแล้วน่าตื่นเต้นเร้าใจ อาจารย์ก็เลยบอกว่า งั้นเจ้าจงไปอยู่ในพระตำหนักบนดวงจันทร์ซี แต่เจ้าจะต้องโค่นต้นกระถินยักษ์ให้ล้มก่อน แล้วจึงจะกลับมายังโลกมนุษย์
อู่กางจึงต้องอาศัยอยู่ในพระตำหนักบนดวงจันทร์และต้องโค่นต้นกระถินยักษ์วิเศษ จนบัดนี้ก็ยังไม่ล้ม
ตำนานเรื่องที่ ๓ กระต่ายหยก
นานมาแล้ว ยังมีเทพธิดาสามองค์แปลงกายเป็นชายแก่ขอทาน ขณะที่เดินไปนั้นพบกบ ลิง และกระต่าย ข้างกบและลิงต่างก็มีอาหารให้ขอทานแปลงทั้งสามคน แต่กระต่ายบอกว่าไม่มีของให้ขอทานด้วยการแบมือเท้าให้ดู แต่ถ้าอยากได้ก็จงเอาเนื้อของตนไปกินเถิด ว่าแล้วกระต่ายก็กระโจนเข้ากองไฟย่างเนื้อของตนให้ขอทาน
ข้างชายแก่แปลงทั้งสามคนเห็นน้ำใจในการให้ทานด้วยเนื้อของตนเช่นนี้ก็เพื่อพวกตน เทพธิดาทั้งสามจึงให้กระต่ายชึ้นไปประจำที่พระตำหนักบนดวงจันทร์ตั้งแต่นั้นมา
ตำนานเรื่องที่ ๔ ขนมเปี๊ยะ
ในสมัยราชวงศ์หยวน ( พ.ศ. ๑๘๒๓ ๑๙๑๑ ) จีนปกครองโดยฮ่องเต้มองโกลต่างชาติ หัวหน้าคณะผู้ก่อการเพื่อทวงแผ่นดินคืนซึ่งสืบเชื้อสายมาแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง ต่างไม่พอใจ จึงคิดหาวิธีโค่นล้มอำนาจราชวงศ์หยวนด้วยวิธีแยบยลไม่มีร่องรอยให้ถูกจับได้ เมื่อต่างคนรู้ว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์กำลังจะถึง ซึ่งในช่วงนั้นจะมีขนมเปี๊ยะเป็นรายการหลัก พวกเขาจึงส่งสัญญาณถึงกันทั้งเมืองด้วยการเขียนข้อความการนัดแนะที่จะโค่นล้มบัลลังก์ในคืนวันที่ ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ วันไหว้พระจันทร์ แล้วพับเป็นแผ่นเล็กๆยัดใส่เข้าไว้ในไส้ขนมเปี๊ยะ แจกจ่ายไปยังคณะผู้ก่อการทั้งหมด เมื่อถึงวันกำหนดนัดดังกล่าว ประชาชนต่างลุกฮือขึ้นขับไล่พวกมองโกลออกไปจากพื้นแผ่นดินจีน แล้วสถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้นปกครองแผ่นดินต่อไป
พิธีกรรม
๑. กำหนดวันเวลาไหว้พระจันทร์ คือ
ภาคเช้า ไหว้ทีกงและไหว้พระจันทร์ ไหว้เทพเจ้าประจำบ้าน ไหว้จ้าวฮุนกงเทพเจ้าแห่งเตาไฟ
ภาคค่ำ ไหว้พระจันทร์ ไหว้พระกวนอิม
หมายเหตุ การกำหนดไหว้เทพองค์ใดที่ไหนมีความเหมือนและความต่างของแต่ละครอบครัวและท้องถิ่น
อย่างที่บ้านมารดาผู้เขียน จะไหว้ภาคเช้า ส่วนภาคค่ำจะไหว้อีกครั้งแล้ว สิ้ว ของพวกขนม คือ เอาขนมออกคงไว้แต่ผลไม้
๒. ของเซ่นไหว้ ได้แก่
๒.๑ ต่งฉิ่วเปี้ย หรือขนมเปี๊ยะแบบต่างๆ ขนมโก๋ ฯลฯ จำนวนชิ้นตามศรัทธา
๒.๒ ผลไม้ต่างๆ จำนวนจะเป็น ๓/ ๕/๗ ชนิดแล้วแต่ผู้ไหว้
๒.๓ น้ำชา
๒.๔ กระดาษทอง
๒.๕ ธูปเทียน ดอกไม้ปักแจกัน
๓. การกล่าวคำไหว้และวิธีการเช่นเดียวกับการไหว้วันสารทจีน
๔. ขนมเปี๊ยะไหว้เสร็จแล้ว นำไปแจกญาติมิตรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว
การไหว้พระจันทร์จึงเป็นวันสำคัญเพื่อบูชาบรรพบุรุษอีกวันหนึ่งของคนไทยเชื้อสายจีน
: สมบูรณ์ แก่นตะเคียน ๗ กันยายน ๒๕๕๐
Title : Chinese Moon Festival
: Somboon Kantakian
ed. & enl. 22/09/2018
ภาพประกอบ
จากกูเกิล
***
*****
|